แฮโรลด์ ชิปแมน (Harold Shipman) ถือเป็นหนึ่งในฆาตกรต่อเนื่องที่โด่งดังและน่าสะพรึงกลัวที่สุดในประวัติศาสตร์ของสหราชอาณาจักร และอาจกล่าวได้ว่าเป็นหนึ่งในแพทย์ที่โลกไม่อาจลืม ด้วยจำนวนผู้เสียชีวิตจากน้ำมือของเขาที่อาจสูงถึงกว่า 200 ราย บทความนี้จะพาคุณไปรู้จักกับประวัติของแฮโรลด์ ชิปแมน เบื้องหลังอาชญากรรมสุดสะเทือนขวัญ และผลกระทบที่ตามมาในวงการแพทย์
ประวัติ บุญเพ็งหีบเหล็ก โจรชื่อดังในประวัติศาสตร์ไทยที่น่าสะพรึง
ประวัติของ แฮโรลด์ ชิปแมน
แฮโรลด์ เฟรเดอริก ชิปแมน เกิดเมื่อวันที่ 14 มกราคม ค.ศ. 1946 ในเมืองน็อตติงแฮม ประเทศอังกฤษ เขาเติบโตในครอบครัวชนชั้นกลางและมีความสนใจในวิชาชีพแพทย์ตั้งแต่ยังเด็ก หลังจากจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยลีดส์ในปี 1970 เขาเริ่มทำงานในฐานะแพทย์ทั่วไป (GP) ในเมืองเล็ก ๆ แห่งหนึ่งของอังกฤษ
แม้ภายนอกจะดูเป็นแพทย์ผู้ทุ่มเทต่อผู้ป่วย แต่ภายใต้บุคลิกเงียบขรึมนั้น เขากลับซ่อนความลับดำมืดที่ไม่มีใครล่วงรู้
วิธีการก่ออาชญากรรมของ แฮโรลด์ ชิปแมน
แฮโรลด์ ชิปแมน ใช้ตำแหน่งแพทย์เป็นเครื่องมือในการสังหารเหยื่อ โดยส่วนใหญ่เป็นผู้สูงอายุที่ไว้ใจในตัวเขา เขามักใช้ มอร์ฟีน หรือสารเสพติดในกลุ่มโอปิออยด์ในการฆาตกรรม ซึ่งให้ผลทำให้เหยื่อเสียชีวิตอย่างรวดเร็ว
หนึ่งในเหตุผลที่เขาสามารถหลบเลี่ยงความสงสัยได้นานหลายปี เป็นเพราะเขามักกรอกข้อมูลในใบมรณบัตรด้วยตนเอง และจัดการเรื่องศพโดยไม่มีการชันสูตร ทำให้ไม่เกิดข้อสงสัยใด ๆ จนกระทั่งมีการตั้งข้อสังเกตถึงจำนวนผู้เสียชีวิตที่เกี่ยวข้องกับเขามากผิดปกติ
การจับกุมและผลกระทบต่อวงการแพทย์
ในปี 1998 ครอบครัวของเหยื่อรายหนึ่งเริ่มสงสัยเกี่ยวกับสาเหตุการตาย และได้ยื่นเรื่องให้ตำรวจสอบสวน เมื่อมีการขุดศพและตรวจสอบ พบว่าผู้เสียชีวิตมีสารมอร์ฟีนในร่างกายในปริมาณที่สูงผิดปกติ จากการสืบสวนเพิ่มเติมพบว่า แฮโรลด์ ชิปแมน มีส่วนเกี่ยวข้องกับการเสียชีวิตของผู้ป่วยจำนวนมาก
เขาถูกจับกุมและพิจารณาคดีในปี 2000 และถูกตัดสินจำคุกตลอดชีวิตโดยไม่มีสิทธิ์ลดโทษ ต่อมาในปี 2004 เขาได้ฆ่าตัวตายในคุก
การกระทำของเขานำไปสู่การปฏิรูปครั้งใหญ่ในระบบสาธารณสุขของอังกฤษ โดยมีการเปลี่ยนแปลงขั้นตอนในการออกใบมรณบัตร การตรวจสอบข้อมูลผู้ป่วย และเพิ่มระบบตรวจสอบการทำงานของแพทย์เพื่อป้องกันเหตุการณ์ในลักษณะเดียวกัน
บทสรุป
กรณีของ แฮโรลด์ ชิปแมน ไม่เพียงแต่เป็นโศกนาฏกรรมของผู้เสียชีวิตและครอบครัวเท่านั้น แต่ยังเป็นบทเรียนสำคัญของวงการแพทย์ทั่วโลกเกี่ยวกับความไว้วางใจ การตรวจสอบ และความรับผิดชอบในวิชาชีพ จุดจบของเขาอาจมืดมน แต่สิ่งที่โลกได้เรียนรู้จากคดีนี้ กลับสว่างไสวและเตือนใจเราว่าความชั่วร้ายอาจแฝงอยู่ในภาพลักษณ์ที่ดูน่าเชื่อถือที่สุด
ขอบคุณเนื้อหาจาก : wikipedia