วัคซีนโควิด 19 มียี่ห้ออะไรบ้าง
เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ไม่จางหายไปไหน ทั้งสถานการณ์ทั่วโลกและในประเทศไทย ผู้ป่วยส่วนใหญ่มีอาการคล้ายไข้หวัดทั่วไป เช่น เจ็บคอ ไอ ปวดเมื่อยเนื้อตัว และเป็นไข้ เพราะฉะนั้นเรื่องที่ทุกคนให้ความสำคัญเพื่อหยุดยั้งการแพร่ระบาดของเชื้อ คือ วัคซีนโควิด-19 ใช้เพื่อป้องกันความรุนแรงของโรค ลดอัตราการเสียชีวิต และสร้างภูมิคุ้มกัน แต่ความรุนแรงจากอาการโควิดล่าสุด ในปี 2567 กลับลดลงอย่างเห็นได้ชัดถือว่าเป็นเรื่องที่น่ายินดีมาก ๆ

ส่วนหนึ่งเป็นเพราะคนไทยมีภูมิคุ้มกัน COVID-19 กันแล้วจากจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 และการติดเชื้อในรอบแรก ๆ รวมถึงการฉีดวัคซีนต้านโควิด 19 ไปหลายเข็ม เพื่อป้องกันความรุนแรงของโรคและลดอัตราการเสียชีวิต วันนี้เราลองมาย้อนกันว่า วัคซีนโควิด 19 มียี่ห้ออะไรบ้าง ที่นำมาใช้ในประเทศไทย มีประเภทใดบ้าง และตัวเราเคยฉีดวัคซีนยี่ห้อไหน

โรคหัด คืออะไร สาเหตุและอาการเป็นอย่างไร เป็นแล้วกี่วันหาย

วัคซีนโควิด 19 มียี่ห้ออะไรบ้าง ที่นำมาใช้ในประเทศไทย

วัคซีนโควิด 19 มียี่ห้อ อะไรบ้าง ที่คนไทยได้ใช้มีทั้งชนิดเชื้อตาย เชื้อไวรัสเวกเตอร์ที่แบ่งตัวไม่ได้ และชนิด mRNA ซึ่งผ่านการรับรองจากองค์การอนามัยโลก (WHO) และสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ของไทย โดยชนิดที่นำมาใช้ในประเทศไทยจะมีอยู่ 5 ยี่ห้อ ดังนี้

  • 1. วัคซีนแอสตร้าเซนเนก้า (AstraZeneca)

วัคซีนแอสตร้าเซนเนก้า (AstraZeneca) หรือ ChAdOx1 nCoV-19 vaccine ผลิตโดยบริษัทแอสตร้าเซนเนก้า (AstraZeneca) ร่วมกับมหาวิทยาลัยออกซฟอร์ด (Oxford University) ของสหราชอาณาจักร เป็นวัคซีนชนิดไวรัสเวกเตอร์ที่แบ่งตัวไม่ได้ (Viral vector vaccine) กล่าวคือ ใช้ไวรัสที่ถูกทำให้อ่อนฤทธิ์หรือไม่สามารถแบ่งตัวได้อีกมาตัดแต่งพันธุกรรมเพื่อใช้เป็นพาหะ เมื่อฉีดเข้าสู่ร่างกายจะเลียนแบบการติดเชื้อตามธรรมชาติ กระตุ้นภูมิคุ้มกันให้สร้างแอนติบอดีต่อโรคโควิด 19

ผลข้างเคียงจากการฉีดวัคซีนชนิดนี้พบได้ไม่บ่อย แต่ก็มีรายงานในต่างประเทศว่าพบภาวะเกล็ดเลือดต่ำที่มีอาการหลอดเลือดอุดตัน ภายหลังได้รับวัคซีนโควิด 19 อยู่บ้างในสัดส่วนไม่มากนัก คือราว ๆ 1 ต่อแสน ถึง 1 ต่อล้านโดส

ทั้งนี้ องค์การอนามัยโลกได้ขึ้นทะเบียนวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้าให้นำมาใช้ในภาวะฉุกเฉิน ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2564 เป็นต้นมา สำหรับในประเทศไทยนั้น วัคซีนแอสตร้าเซนเนก้า ถือเป็นวัคซีนหลักชนิดหนึ่งที่นำมาใช้ในช่วงแรกของการระบาด เนื่องจากมีประสิทธิภาพในการป้องกันโดยรวม 70% ขึ้นไป โดยต้องฉีด 2 เข็ม ห่างกัน 8-12 สัปดาห์

อย่างไรก็ตาม ในช่วงปี 2567 แอสตร้าเซนเนก้า ได้ยอมรับเป็นครั้งแรกว่า วัคซีนโควิดของบริษัท หรือ โควิดชิลด์ มีประสิทธิภาพในการป้องกันไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ได้ 60-80% แต่การวิจัยก็พบว่าวัคซีนอาจทำให้บางคนเกิดลิ่มเลือดอุดตันและเกล็ดเลือดต่ำภายหลังฉีดวัคซีน หรือ Thrombosis with Thrombocytopenia Syndrome (TTS) ซึ่งอาจถึงแก่ชีวิตได้ แม้ว่าจะเกิดขึ้นได้ยากมาก ทั้งนี้ ภาวะ TTS สามารถเกิดขึ้นได้ด้วยปัจจัยอื่น ๆ เช่นกัน ถึงแม้ไม่ได้ฉีดวัคซีนป้องกันโควิด

  • 2. วัคซีนซิโนแวค (Sinovac)

วัคซีนซิโนแวค หรือ Corona Vac พัฒนาโดยบริษัท ซิโนแวค ไบโอเทค (Sinovac Biotech) ประเทศจีน เป็นวัคซีนชนิดเชื้อตาย (Inactivated vaccine) ที่นำเชื้อไวรัสที่ตายแล้วมาฉีดกระตุ้นให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกัน ถือเป็นเทคโนโลยีการผลิตวัคซีนแบบดั้งเดิมที่ใช้กันมานานในวัคซีนหลายชนิด เช่น วัคซีนตับอักเสบเอ วัคซีนโปลิโอ จึงค่อนข้างปลอดภัย แต่กระบวนการผลิตค่อนข้างยากและต้องใช้เวลา วัคซีนชนิดนี้จึงมักมีราคาแพงกว่าวัคซีนชนิดอื่น

องค์การอนามัยโลกได้อนุมัติให้นำวัคซีนซิโนแวคมาใช้ในกรณีฉุกเฉินเมื่อวันที่ 1 มิถุนายน 2564 ขณะที่ในประเทศไทยนั้นนำเข้าวัคซีนซิโนแวคมาใช้เป็นวัคซีนป้องกันโควิด 19 เป็นชนิดแรก และเริ่มฉีดในคนกลุ่มเสี่ยงช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์ 2564 โดยต้องฉีด 2 เข็ม ห่างกัน 2-4 สัปดาห์ มีประสิทธิภาพในการป้องกันการติดเชื้อที่มีอาการประมาณ 65.3-91.25% (ผลการทดสอบแตกต่างกันในแต่ละประเทศ)

สำหรับผลข้างเคียงของวัคซีนซิโนแวคนั้นพบได้น้อย และมีอาการข้างเคียงเฉพาะที่น้อยกว่าวัคซีนชนิดอื่น ๆ โดยที่ผ่านมาเคยมีรายงานพบอาการข้างเคียงอยู่บ้าง เช่น อาการเจ็บหน้าอก อ่อนแรง ชาครึ่งซีก แต่เป็นเพียงอาการชั่วคราวที่หายได้เอง

  • 3. วัคซีนซิโนฟาร์ม (Sinopharm)

วัคซีนซิโนฟาร์ม หรือ BBIBP-CorV ผลิตโดยบริษัทซิโนฟาร์ม (Sinopharm) ประเทศจีน ซึ่งเป็นเครือรัฐวิสาหกิจแห่งชาติ ด้านเทคโนโลยีชีวภาพ มีชื่อทางการค้าคือ COVILO เป็นวัคซีนที่ผลิตจากเชื้อตายเช่นเดียวกับซิโนแวค ได้รับการรับรองจากองค์การอนามัยโลกเมื่อเดือนพฤษภาคม 2564 จากนั้นทางราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ได้นำเข้ามาในประเทศไทย เพื่อฉีดให้กับคนทั่วไปในเดือนมิถุนายน 2564 โดยต้องฉีด 2 เข็ม ห่างกันประมาณ 28 วัน มีประสิทธิภาพป้องกันการติดเชื้อได้ประมาณ 79% ขณะที่ผลข้างเคียงของวัคซีนซิโนฟาร์มพบได้น้อยเช่นเดียวกับวัคซีนซิโนแวค เนื่องจากเป็นวัคซีนที่ผลิตจากเชื้อตายเหมือนกัน ส่วนใหญ่จะเป็นอาการไม่พึงประสงค์ เช่น ปวดศีรษะ มีไข้ อ่อนเพลีย ปวดเมื่อยตามตัว เป็นต้น

  • 4. วัคซีนไฟเซอร์ (Pfizer)

วัคซีนไฟเซอร์ หรือ BNT162b2 ผลิตโดยบริษัทไฟเซอร์ (Pfizer) จากสหรัฐอเมริกา และบริษัทไบออนเทค (BioNTech) ของเยอรมนี เป็นวัคซีนชนิด mRNA โดยการสังเคราะห์สารพันธุกรรมเลียนแบบเชื้อไวรัสขึ้นมา เพื่อกระตุ้นให้ร่างกายสร้างโปรตีนส่วนหนาม (Spike protein) เหมือนไวรัสโคโรนา ได้รับอนุมัติจากองค์การอนามัยโลกเมื่อวันที่ 31 ธันวาคม 2563 นับเป็นวัคซีนโควิดชนิดแรกของโลกที่องค์การอนามัยโลกให้การรับรองใช้ในกรณีฉุกเฉิน สำหรับในประเทศไทย ทาง อย. ได้ขึ้นทะเบียนให้ใช้ได้เมื่อเดือนมิถุนายน 2564 และนำมาฉีดให้กับประชาชนทั่วไป 2 เข็ม ห่างกันประมาณ 21-28 วัน พบว่ามีประสิทธิภาพสูงถึงประมาณ 90% ซึ่งสูงกว่าวัคซีนชนิดอื่น ๆ

ส่วนเรื่องผลข้างเคียงนั้นคล้ายกับการฉีดวัคซีนทั่ว ๆ ไป เช่น รู้สึกปวด-บวมบริเวณที่ฉีด อ่อนเพลีย ปวดศีรษะ ปวดกล้ามเนื้อ ปวดข้อ มีไข้ เป็นต้น อย่างไรก็ตาม ยังมีรายงานอยู่บ้างว่าพบอาการกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบในผู้ที่ฉีดวัคซีน mRNA โดยพบในเพศชายมากกว่าเพศหญิง นอกจากนี้ในรายงานที่ตีพิมพ์ในวารสารทางการแพทย์ของต่างประเทศ ยังพบว่า มีโอกาส 1 ใน 10 ที่วัคซีนไฟเซอร์จะไม่สร้างโปรตีน spike แต่กลับเบี่ยงเบนไปสร้างโปรตีนชนิดอื่น ซึ่งอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งและการแพ้ภูมิตนเองได้ สิ่งนี้เกิดจากความผิดพลาดของการแปลรหัสพันธุกรรม

  • 5. วัคซีนโมเดอร์นา (Moderna)

วัคซีนโมเดอร์นา หรือ mRNA-1273 พัฒนาขึ้นโดยบริษัทโมเดอร์นา (Moderna) ประเทศสหรัฐอเมริกา โดยร่วมมือกับสถาบันภูมิแพ้และโรคติดต่อแห่งชาติสหรัฐฯ และสำนักงานวิจัยและพัฒนาชีวเวชภัณฑ์ชั้นสูงสหรัฐฯ เป็นวัคซีนชนิด mRNA เหมือนของไฟเซอร์ โดยนำสารพันธุกรรมของโควิด 19 ที่สร้างโปรตีนส่วนปุ่มหนามมาสังเคราะห์เป็นรหัสคำสั่ง S-spike mRNA เมื่อฉีดเข้าไปจะทำให้ร่างกายผลิตโปรตีนที่กระตุ้นภูมิคุ้มกัน ให้ร่างกายรู้จักเชื้อโรคและสร้างภูมิคุ้มกันขึ้นมา จึงมีประสิทธิภาพค่อนข้างสูง คือป้องกันการติดโรคในคนทั่วไปได้มากกว่า 90%

องค์การอนามัยโลกอนุมัติให้ใช้วัคซีนโมเดอร์นาในเดือนเมษายน 2564 และทาง อย. ประเทศไทย ได้ขึ้นทะเบียนในเดือนพฤษภาคม 2564 โดยในช่วงแรกโรงพยาบาลเอกชนได้เปิดให้คนที่สนใจลงทะเบียนจองฉีดวัคซีนได้แบบมีค่าใช้จ่าย ซึ่งต้องฉีดจำนวน 2 เข็ม แต่ละเข็มมีระยะห่างกัน 28 วัน ก่อนที่ภายหลังจะมีบริการให้ฉีดฟรี

สำหรับผลข้างเคียงของวัคซีนโมเดอร์นาไม่ต่างจากวัคซีนไฟเซอร์ โดยมีอาการเจ็บและแดงบริเวณที่ฉีด มีไข้ ปวดข้อ ปวดเมื่อยตามเนื้อตัว ซึ่งสามารถหายได้เอง นอกจากนี้ยังมีรายงานพบอาการกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบอยู่บ้างเช่นกัน แต่มีจำนวนไม่มากนัก และยังคงต้องติดตามโอกาสของการเกิดผลข้างเคียงต่าง ๆ เพิ่มเติม

วิธีเช็กประวัติการฉีดวัคซีนโควิด

สำหรับคนที่จำไม่ได้ว่าเคยฉีดวัคซีนโควิด 19 ชื่ออะไร ยี่ห้อไหน แล้วอยากทราบประวัติการฉีดวัคซีนของตัวเอง สามารถตรวจสอบข้อมูลได้ที่ แอปพลิเคชัน หมอพร้อม หรือที่ LINE OA หมอพร้อม โดยทำตามขั้นตอนนี้

  • เพิ่มเพื่อนที่ LINE OA หมอพร้อม
  • เลือกบัญชีผู้ใช้งานและบริการอื่น ๆ
  • กรอกข้อมูลส่วนตัวเพื่อลงทะเบียนตามขั้นตอน
  • เลือกใบรับรองโควิด 19
  • จากนั้นจะปรากฏข้อมูลใบรับรองการฉีดวัคซีน ผลตรวจโควิด และประวัติการรักษา ซึ่งเราสามารถตรวจสอบได้ว่าเราฉีดวัคซีนไปกี่เข็ม ยี่ห้ออะไร วันที่เท่าไร ณ สถานพยาบาลแห่งใด

สรุป วัคซีนโควิด 19 มียี่ห้ออะไรบ้าง ที่นำมาใช้ในประเทศไทย 1.วัคซีนแอสตร้าเซนเนก้า (AstraZeneca) เมื่อฉีดเข้าสู่ร่างกายจะเลียนแบบการติดเชื้อตามธรรมชาติ กระตุ้นภูมิคุ้มกันให้สร้างแอนติบอดีต่อโรคโควิด 2.วัคซีนซิโนแวค (Sinovac) นำเชื้อไวรัสที่ตายแล้วมาฉีดกระตุ้นให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกัน 3. วัคซีนซิโนฟาร์ม (Sinopharm) เป็นวัคซีนที่ผลิตจากเชื้อตายเช่นเดียวกับซิโนแวค ได้รับการรับรองจากองค์การอนามัยโลก 4.วัคซีนไฟเซอร์ (Pfizer) เป็นวัคซีนชนิด mRNA โดยการสังเคราะห์สารพันธุกรรมเลียนแบบเชื้อไวรัสขึ้นมา เพื่อกระตุ้นให้ร่างกายสร้างโปรตีนส่วนหนามเพื่อป้งกันโควิด 5. วัคซีนโมเดอร์นา (Moderna) เมื่อฉีดเข้าไปจะทำให้ร่างกายผลิตโปรตีนที่กระตุ้นภูมิคุ้มกัน ให้ร่างกายรู้จักเชื้อโรคและสร้างภูมิคุ้มกันขึ้นมา โดยการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 สามารถลดการแพร่ระบาด ลดความรุนแรงของอาการ และลดการเสียชีวิตได้ ดังนั้น วัคซีนจึงถือเป็นเครื่องมือสำคัญอย่างหนึ่งที่จะช่วยควบคุมการระบาดของโรค และช่วยปกป้องให้ผู้คนปลอดภัยจากโรคนี้ได้


ขอบคุณเนื้อหาจาก : wikipedia

 

เป็นกำลังใจช่วยแชร์หน่อยค่ะ



ball